ค้นหาโรคและความเจ็บป่วย / อาการ
อ่าน: 369
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)
การอักเสบของเยื่อหุ้มสมองและน้ำไขสันหลังที่อยู่รอบสมองและไขสันหลัง ส่วนมากจะเกิดจากการติดเชื้อ
มักมีอาการไข้ ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนมาก และคอแข็ง (คอแอ่นไปข้างหลัง และก้มไม่ลง) ผู้ป่วยมักจะบ่นปวดทั่วศีรษะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีการเคลื่อนไหวของศีรษะ (เช่น ก้มศีรษะ) ซึ่งมักจะปวดติดต่อกันหลายวัน กินยาแก้ปวดไม่ทุเลา ส่วนอาการไข้ อาจมีลักษณะไข้สูงตลอดเวลา หรือไข้เป็นพักๆ ถ้าเกิดจากพยาธิอาจมีไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้ก็ได้ ต่อมาผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย สับสน ซึมลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดสติ นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการกลัวแสง เห็นภาพซ้อน กลืนลำบาก แขนขาเป็นอัมพาต หรือชักติดต่อกันนานๆ ในเด็กอายุต่ำกว่า ๒ ขวบ อาการอาจไม่ค่อยชัดเจน อาจมีไข้ กระสับกระส่าย ร้องไห้เสียงแหลม อาเจียน ชัก กระหม่อมหน้าโป่งตึง อาจไม่มีอาการคอแข็ง
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากไวรัส รองลงมาเป็นแบคทีเรียและเชื้อราตามลำดับ
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย จะเกิดเมื่อเชื้อแบคทีเรียเข้ากระแสเลือดและเดดินทางไปสู่สมองและไขสันหลัง และแบคทีเรียจะเคลื่อนที่ทะลุเยื่อหุ้มสมองไปได้ เชื้อที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ ได้แก่ Streptococcus pneumonia, Neisseria meningitides, Haemophilus influenzae
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไวรัส หากติดเชื้อไวรัสจะสามารถหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์ และเป็นไม่รุนแรง เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ ได้แก่ Enteroviruses
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา จะพบไม่มาก เชื้อราที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ Cryptococcus และมักจะเป็นในผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- สาเหตุอื่น เช่น เกิดจากการแพ้ยา มะเร็ง เอสแอลอี พยาธิพี่พบบ่อยในประเทศไทยคือพยาธิตัวจี๊ดและพยาธิแองจิโอ(Angiostrongylus canthonensis) เป็นต้น
ซักประวัติพบว่ามีอาการ ไข้ ปวดศรีษะ อาเจียนมาก หรืออาการร่วมอื่นเช่นกลัวแสง ซึม ชักเป็นต้น
ตรวจร่างกาย พบอาการคอแข็ง หรืออาการทางระบบประสาทอื่นร่วม
สืบค้นทางห้องปฏิบัติการ
- ตรวจน้ำไขสันหลัง เพื่อมาหาปริมาณน้ำตาล ปริมาณเม็ดเลือดขาว โปรตีนในน้ำไขสันหลัง และตรวจหาเชื้อที่ทำให้เกิดโรค
- เอกเรย์หรือการเพาะเชื้อในช่องคอเพื่อหาสาเหตุของแหล่งกำเนิดเชื้อ เช่นการติดเชื้อคออักเสบหรือไซนัส
- CT scan เพื่อหาตำแหน่งที่ติดเชื้อ และดูการบวมของกะโหลกหรือโพรงต่างๆ
ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื้อวัณโรค, เชื้อเมนิงโกค็อกคัส) เชื้อราและพยาธิภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ เช่น แขนขาเป็นอัมพาต หูหนวก ตาเหล่ ปากเบี้ยว โรคลมชักสมองพิการ ปํญญาอ่อน น้ำคั่งในสมองหรือไฮโดรเซฟาลัส ฝีในสมอง เป็นต้น
การดูแลตนเอง ผู้ป่วยที่มีอาการชักทุกคน ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามี ไข้สูง ซึม หมดสติ คอแข็งร่วมด้วย
ยกเว้นเด็ก (อายุ ๖ เดือน ถึง ๕ ขวบ) ที่เคยมีประวัติชักจากไข้มาก่อน และคราวนี้ก็มีอาการชักจากไข้คล้ายๆ กัน ก่อนพบแพทย์ก็อาจให้การปฐมพยาบาล กินยาลดไข้ และยากันชักตามคำแนะนำของแพทย์
เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเป็นเยื่อหุ้ม สมองอักเสบ จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ เช่น
ถ้าเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย จะให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่พบ
ถ้าเกิดจากเชื้อวัณโรค จะให้ยาฆ่าเชื้อวัณโรค นาน ๖-๙ เดือน
ถ้าเกิดจากเชื้อรา จะให้ยาฆ่าเชื้อรา
ถ้าเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่มียารักษาจำเพาะ จะให้การรักษาตามอาการ ซึ่งมักจะดีขึ้นภายใน ๒-๓ สัปดาห์
การป้องกัน
๑. ป้องกันไม่ให้เป็นวัณโรค โดยการฉีดวัคซีน บีซีจีตั้งแต่แรกเกิด
๒. ป้องกันไม่ให้เป็นโรคพยาธิแองจิโอสตรอง-ไจลัส โดยการไม่กินหอยโข่งดิบ
๓. ถ้าเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบ หรือไซนัสอักเสบ ควรรักษาอย่างจริงจัง อย่าปล่อยให้เป็น เรื้อรังจนเชื้อเข้าสมอง
๔. ในกรณีที่เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด ผู้ป่วยไข้กาฬหลังแอ่น ควรป้องกันไม่ให้เป็นโรคโดยการกินยาปฏิชีวนะ ได้แก่ ไรแฟมพิซิน
Mayo Clinic staff. Meningitis. [Online]. 2008 April 08 [cited 2010 May 09];Available from: URL:
http://www.mayoclinic.com/health/meningitis/DS00118
27 พฤษภาคม 2553
05 สิงหาคม 2553