อ่าน: 553
Small_font Large_font

Valsartan (วาลซาร์แทน)

คำอธิบายพอสังเขป

วาลซาร์แทน (Valsartan) จัดอยู่ในกลุ่มยากลุ่มยับยั้งตัวรับแอนจิโอเทนซิน (angiotensin repector inhibitors) หรือเรียกย่อว่า “กลุ่มเออาร์บี (ARBs)” ออกฤทธิ์โดยยับยั้งและแย่งการจับของแองจิโอเทนซิน 2 (angiotensin II) ตรงตำแหน่งที่จะไปออกฤทธิ์ที่ทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือด ส่งผลให้ลดแรงต้านของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัวและทำให้ความดันเลือดลดลง ออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจมากขึ้น และลดการทำงานของหัวใจ

ยานี้ ใช้สำหรับผู้ป่วยโรคความดันเลือดสูง, ผู้ป่วยที่มีภาวะโรคหัวใจล้มเหลว, ผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย, ลดอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ป่วยที่มีการทำงานของหัวใจห้องล่างซ้ายบกพร่องหลังจากมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด, ใช้รักษาหรือป้องกันการเสื่อมของไตในผู้ป่วยเบาหวานที่มีประวัติความดันเลือดสูง

ยากลุ่มนี้มีคุณสมบัติหลายประการคล้ายกับยากลุ่มยับยั้งแอนจิโอเทนซิน-คอนเวอร์ติงเอ็นไซม์ (angiotensin converting enzyme inhibitors) หรือที่เรียกย่อว่า “กลุ่มเอซีอีไอ (ACEIs)” เช่น แคพโทพริล (captopril), อีนาลาพริล (enapril) แต่ต่างกันที่ยากลุ่มเออาร์บีไม่ค่อยทำให้เกิดอาการไอแห้ง ๆ เหมือนกับยากลุ่มเอซีอีไอ ดังนั้นจึงใช้ยากลุ่มนี้แทนยากลุ่มเอซีอีไอในผู้ที่รักษาโรคความดันเลือดสูง, โรคหัวใจล้มเหลว และโรคอื่น ๆ ที่ใช้ยากลุ่มเอซีอีไอรักษาแล้วมีอาการไอแห้ง ๆ

ยานี้ไม่ได้ใช้เพื่อรักษาความดันเลือดให้หาย เพียงแต่ช่วยควบคุมความดันเลือด เนื่องจากภาวะความดันเลือดสูงที่ไม่ได้รับการควบคุมจะทำให้เกิดปัญหาร้ายแรง เช่น หัวใจล้มเหลว (heart failure) โรคหลอดเลือด โรคลมที่มีสาเหตุจากหลอดเลือดสมอง หรือโรคไต

ก่อนการใช้ยา

การแพ้ยา

โปรดแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านเคยมีอาการผิดปกติใด ๆ หรือมีประวัติการแพ้ยาวาลซาร์แทน (valsartan) หริอ ยาอื่นในกลุ่มนี้ หรือ ส่วนประกอบใด ๆ ในยานี้ รวมทั้งการมีประวัติเคยแพ้สารอื่น เช่น อาหาร, สารกันเสีย, สี เป็นต้น

ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยาวาลซาร์แทน (valsartan) หรือ ยาในกลุ่มเดียวกัน หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ในยานี้ หรือห้ามใช้อีก เมื่อกินยานี้แล้วมีอาการ เช่น ผื่น,คัน, ลมพิษ, มือบวม, หน้าบวม, ปากบวม, ลิ้นบวม, บวมน้ำกดไม่บุ๋ม (angioedema), หายใจลำบาก, แน่นหน้าอก, ปฏิกิริยาแอนาฟิแล็กซิส (anaphylactic reactions)

อาหารและเครื่องดื่มที่ต้องระวัง

  • ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือสมุนไพรบางชนิด เช่น อีฟรีดา (ephedra), โสม, ชะเอม, ขิง, โยฮิมบีน (yohimbine)

ตั้งครรภ์

สตรีมีครรภ์ ห้ามใช้ยานี้ โดยเฉพาะหลังจากสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ ควรเปลี่ยนไปใช้ยาลดความดันเลือดตัวอื่นที่มีความปลอดภัยระหว่างการตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์ควรคุมกำเนิดระหว่างการใช้ยานี้ ในช่วง 3 เดือนแรกจากการศึกษาในสัตว์พบว่ายาทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์ แต่ไม่มีรายงานการศึกษาในมนุษย์ ในช่วงหลังจากสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ ข้อมูลในมนุษย์พบว่ายามีความเสี่ยงในการก่อให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์ การพิจารณาใช้ยาให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ อาจใช้ยานี้ได้ หากพิจารณาแล้วว่าก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์

ตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 1

ABCDX

รายการนี้จัดอยู่ในประเภท 'C' สำหรับสตรีมีครรภ์

จากการศึกษาในสัตว์พบว่ายาทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์ แต่ไม่มีรายงานการศึกษาที่ควบคุมอย่างดีในมนุษย์ หรือ ไม่มีรายงานการศึกษาในมนุษย์และสัตว์ถึงผลของยาต่อตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์ ดังนั้น ควรใช้ยานี้เมื่อมีการประเมินแล้วว่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์

ตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2

ABCDX

รายการนี้จัดอยู่ในประเภท 'D' สำหรับสตรีมีครรภ์

ยามีความเสี่ยงในการก่อให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์ อย่างไรก็ตาม อาจใช้ยานี้ได้ หากพิจารณาแล้วว่าประโยชน์จากการใช้ยามีมากกว่าความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นการพิจารณาใช้ยาให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์

ตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 3

ABCDX

รายการนี้จัดอยู่ในประเภท 'D' สำหรับสตรีมีครรภ์

ยามีความเสี่ยงในการก่อให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์ อย่างไรก็ตาม อาจใช้ยานี้ได้ หากพิจารณาแล้วว่าประโยชน์จากการใช้ยามีมากกว่าความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นการพิจารณาใช้ยาให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์

กำลังให้นมบุตร

สตรีให้นมบุตร ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ ถึงแม้ไม่มีรายงานการขับยานี้ผ่านทางน้ำนมในมนุษย์ แต่มีรายงานการขับยานี้ออกทางน้ำนมหนู การใช้ยานี้ในสตรีให้นมบุตรควรได้รับการปรึกษากับแพทย์ผู้ดูแล

เด็ก

ระมัดระวังการใช้ยานี้ในเด็ก เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนในเด็ก ถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี หรือเด็กที่มีปัญหาโรคไต

ผู้สูงอายุ

ระมัดระวังการใช้ยานี้ในผู้สูงอายุเนื่องจากอาจมีความไวต่อการเกิดผลไม่พึงประสงค์ได้มากกว่า แม้จากการศึกษาบางการศึกษาพบว่าผลไม่พึงประสงค์และประสิทธิภาพของการรักษาไม่มีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า

ยาอื่นที่ใช้อยู่

ระมัดระวังการใช้ยาวาลซาร์แทน (Valsartan) ร่วมกับยาต่อไปนี้

  • ยาลดความดันกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะกลุ่มยับยั้งเอ็นไซม์แอนจิโอเทนซิน-คอนเวอร์ติง (ACE inhibitors) เช่น อีแนลาพริล (enalapril), แคปโทพริล (captopril), รามิพริล (ramipril), เพอรินโดพริล (perindopril), ควินาพริล (quinapril) เพราะจะส่งผลให้เกิดพิษได้
  • ยาขับปัสสาวะกลุ่มเก็บกักโพแทสเซียม (potassium sparing diuretic) เช่น สไพโรโนแลกโทน (spironolactone), อะมิโลไรด์ (amiloride)
  • กลุ่มยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์ต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ เช่น ไดโคลฟีแนก (diclofenac), ไอบิวโพรเฟน (ibuprofen), แอสไพริน (aspirin), อินโดเมทาซิน (indomethacin), เพียร็อกซิแคม (piroxicam), เซเลโคสิป (celecoxib)
  • ยาอื่น ๆ เช่น เอมิฟอสทีน (amifostine), ลิเทียม (lithium), ริทูซิแมบ (rituximab), ไทรเมโทพริม (trimethoprim), เกลือโพแทสเซียม, เมทิลเฟนิเดต (methylphenidate), ไรฟาไมซิน (rifamycin), ริแฟมพิน (rifampin), ไซโคลสพอริน (cyclosporin), ริโทนาเวียร์ (ritonavir)

ยังมียาหลายชนิที่ไม่ควรใช้ร่วมกับ วาลซาร์แทน (valsartan) ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบว่าท่านกำลังใช้ยาใดอยู่ในขณะนี้

ภาวะโรคร่วม

  • ห้ามใช้กับผู้ป่วยตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เด็กที่มีภาวะการทำงานของไตบกพร่อง, ภาวะแอลโดสเตอโรนมากเกินชนิดปฐมภูมิ (primary hyperaldosteronism), โรคตับแข็ง
  • ระมัดระวังการใช้ในผู้ที่มีภาวะหรือโรคต่อไปนี้:
– ภาวะความดันเลือดต่ำรุนแรงอาจเนื่องมาจากการขาดน้ำหรือ ปริมาตรเลือดน้อย – ภาวะไตบกพร่อง – ภาวะตับวายหรือเป็นโรคตับ – การหดแคบของเอออร์ตา (aortic stenosis) – ภาวะเลือดมีโพแทสเซียมมาก หรือ ได้รับเกลือโพแทสเซียม – ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจวายเหตุเลือดคั่งรุนแรง (severe congestive heart failure) – เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี – ผู้สูงอายุ

การใช้ที่ถูกต้อง

  • รับประทานยาได้ทั้งก่อนและหลังอาหาร ให้รับประทานพร้อมอาหารหากรู้สึกไม่สบายท้อง และอาจรับประทานยาได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงมื้ออาหาร
  • รับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวันเป็นประจำ ไม่ควรหยุดรับประทานยาเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
  • รับประทานยาและกลืนยาพร้อมน้ำ
  • อาจแบ่งครึ่งเม็ดยา หากไม่สามารถกลืนได้ทั้งเม็ด หรือปรึกษาเภสัชกรในการเตรียมยาเพื่อสามารถให้กลืนยาได้

ขนาดยา

ขนาดยาของยาวาลซาร์แทน (valsartan) อาจแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นกับสภาวะโรคของท่าน ควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด

เมื่อลืมใช้ยา

ให้รับประทานทันทีทีนึกได้ ถ้าใกล้เวลาของมื้อต่อไป ให้ข้ามไปรับประทานมื้อถัดไปโดยใช้ตามขนาดที่แพทย์สั่ง ห้ามรับประทานยาเพิ่มเป็น 2 เท่า

การเก็บรักษา

  • เก็บยาในภาชนะปิดสนิท อย่าให้โดนแสงโดยตรง
  • เก็บยาที่อุณหภูมิห้องในช่วง 15 ถึง 30 องศาเซลเซียส อย่าเก็บในที่ร้อน
  • ไม่ควรเก็บยาในตู้เย็น
  • เก็บยาในที่แห้ง อย่าเก็บในที่ชื้น เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว
  • เก็บยาทุกชนิดให้พ้นสายตาและมือเด็ก หรือสัตว์เลี้ยง
  • เก็บยาในภาชนะบรรจุเดิมที่ได้รับมา
  • หากมียาเหลือหลังจากแพทย์สั่งให้หยุดใช้ ควรส่งคืนยาแก่เภสัชกร
  • ไม่ใช้ยานี้หลังจากวันหมดอายุ ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรในการทิ้งยานี้

ข้อควรระวัง

  • ยาอาจทำให้รู้สึกวิงเวียนหรือเวียนศีรษะ ไม่ควรขับขี่ยวดยานหรือทำงานกับเครื่องจักรที่อันตราย และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • ระมัดระวังการออกกำลังกายในสภาพแวดล้อมที่ร้อนเกินไป ซึ่งอาจทำให้เสียเหงื่อมาก ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม
  • ไม่ควรหยุดยาเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน แม้ว่าจะรู้สึกสบายดีก็ตาม เพราะความดันเลือดสูงมักไม่มีอาการแสดงใด ๆ และจะมีผลต่อการทำงานของหัวใจและไต
  • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรหากมีอาการท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง หรือเหงื่อออกมาก เนื่องจากการสูญเสียน้ำจากร่างกายมากจะเป็นอันตรายขณะใช้ยานี้ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันการขาดน้ำ

อาการไม่พึงประสงค์

ยาอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์บางอย่างที่ไม่ต้องการ ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดกับผู้ใช้ยาทุกราย แต่หากเกิดอาการไม่พึงประสงค์ขึ้นควรได้รับการรักษาที่เหมาะสม

ก.อาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง ต้องหยุดยาแล้วรีบไปพบแพทย์ทันที อาการที่พบ เช่น

  • อาการแพ้ยา
  • เวียนศีรษะรุนแรงคล้ายจะหมดสติ, หมดสติ, วิตกกังวล, ความคิดสับสน, อวัยวะเพศไม่แข็งตัว, ความรู้สึกสัมผัสเพี้ยน (paresthesia),
  • เจ็บหน้าอก, ใจสั่น, หัวใจเต้นผิดปกติ, หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นไม่เป็นจังหวะ, หายใจลำบาก
  • ภาวะเลือดมีสารไนโตรเจนคั่ง, การทำงานของไตลดลง, ครีแอทินินในเลือดเพิ่มขึ้น, ปัสสาวะลดน้อยลง, ไตวาย,
  • ตับอ่อนอักเสบ, ระดับเอนไซม์ตับสูงขึ้น, ตัวเหลืองตาเหลือง, มีการเพิ่มขึ้นของรงควัตถุสีเหลืองจากน้ำดี (บิลิรูบิน), ตับอักเสบ
  • เม็ดเลือดขาวต่ำ, โลหิตจาง, ภาวะเกล็ดเลือดน้อย, เม็ดเลือดแดงต่ำ, ภาวะเลือดจางชนิดเม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็กกว่าปกติ (microcytic anemia), ตกเลือดกำเดา
  • มีปัญหาในการมองเห็น, เยื่อตาอักเสบ
  • มีการสลายของกล้ามเนื้อลาย (rhabdomyolysis)

ข. อาการไม่พึงประสงค์ที่ไม่รุนแรง หากเกิดขึ้นอาจไม่จำเป็นต้องหยุดยา แต่ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ และถ้ามีอาการรุนแรงหรือทนไม่ได้หรือเกิดต่อเนื่อง ให้ไปพบแพทย์ทันที เช่น

  • เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ
  • อ่อนเปลี้ย อ่อนแรง รู้สึกหมุน
  • ความดันเลือดต่ำ ความดันเลือดตกขณะเปลี่ยนท่า
  • เลือดมีโพแทสเซียมมากเกิน (heperkalemia)
  • คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง เบื่ออาหาร ท้องผูก อาหารไม่ย่อย เรอ ทางเดินอาหารอักเสบ
  • ปวดข้อ ปวดหลัง ปวดท้อง ปวดกล้ามเนื้อ ตะคริว
  • ไอ
  • ผมร่วง
  • นอนหลับยาก หรือ ง่วงซึม
  • ผิวหนังไวต่อแสง
  • การรับรู้รสบกพร่อง
  • มีน้ำลายน้อยลง ปากแห้ง
  • มีไข้ เจ็บคอ หนาวสั่น ติดเชื้อไวรัส ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เยื่อจมูกอักเสบ โพรงอากาศอักเสบ
  • หลอดเลือดอักเสบ (vasculitis)
  • รู้สึกเป็นเหน็บที่มือ เท้า หรือ ริมฝีปาก
  • เดินเซ

ค. หากเกิดอาการผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจจะเกี่ยวกับยานี้ ให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกร

ข้อมูลเพิ่มเติม

  • ความดันเลือดสูงเกิดจากการที่หลอดเลือดตีบขึ้น ส่งผลให้เลือดไหลผ่านได้ยากขึ้น ซึ่งปกติเราจะไม่ทราบถึงค่าความดันเลือดที่สูงดังนั้นจำเป็นที่จะต้องตรวจวัดความดันเลือดเป็นประจำ การปล่อยให้มีความดันเลือดที่สูงโดยไม่ได้รับการรักษาสามารถทำให้เกิดการทำลายอวัยวะที่สำคัญ เช่น หัวใจหรือไตได้ และนำไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดสมอง, อาการหัวใจล้ม (heart attack), ภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure), ภาวะไตวาย, ตาบอด โดยการใช้ยาสามารถควบคุมความดันเลือดสูงได้ซึ่งต้องอาศัยแพทย์แนะนำ
  • ควรไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามผลการรักษา แพทย์จะแนะนำให้ตรวจวัดระดับความดันเลือดเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการได้รับยาหรือช่วงที่มีการเปลี่ยนขนาดยา และในผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องตรวจบางอย่างเพิ่มเช่น ระดับโพแทสเซียม, ครีแอทินิน (creatinine) เพื่อดูการทำงานของไต หรือ เอนไซม์ตับเพื่อดูการทำงานของตับ
  • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับค่าความดันเลือดที่เหมาะสมสำหรับท่านและเมื่อใดที่จะต้องมาพบแพทย์ ถ้าท่านมีเครื่องวัดระดับความดันเลือดด้วยตนเองที่บ้าน ท่านควรบันทึกค่าความดันเลือดที่วัดได้เอง และนำค่าที่บันทึกไว้มาให้แพทย์ดู
  • ควรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่มีผลช่วยลดความดันเลือด เช่น ลดความเครียด, ออกกำลังกาย, ลดการรับประทานอาหารที่มีเกลือมาก, ลดน้ำหนัก

กลุ่มยา

ยานี้จัดอยู่ในกลุ่มยาต่อไปนี้

ยาที่เกี่ยวข้อง

ยานี้เกี่ยวข้องกับยาต่อไปนี้

Candesartan, Eprosartan, Irbesartan, Losartan, Olmesartan, Telmisartan

ชื่อทางการค้า

ยานี้มีชื่อทางการค้าต่อไปนี้

Diovan tablets, Valatan tablets

ข้อมูลนี้ไม่สมบูรณ์ ยานี้อาจจะยังมีชื่อทางการค้าอื่นที่ไม่ได้แสดงในนี้ หรือชื่อทางการค้าที่แสดงในนี้อาจจะไม่อนุญาตให้จำหน่ายแล้ว

ชื่อภาษาไทยอื่นที่อาจมีการใช้

ยานี้มีชื่อภาษาไทยอื่นที่มีการใช้ดังต่อไปนี้

วาวซาร์แทน

ข้อมูลนี้ไม่สมบูรณ์ ยานี้อาจจะยังมีชื่อภาษาไทยอื่นที่อาจมีการใช้ ซึ่งไม่ได้แสดงในนี้

แหล่งอ้างอิง

  1. Cassia, L.A., The renin-angiotensin-aldosterone system and other vasoactive substances, In Modern pharmacology with clinical application, 6th ed, pp. 244-51. Craig C.R. et al., Lippincott Williams & Wilkins, 2003.
  2. Dailymed current medication information . Valsartan. Available at: http://dailymed.nlm.nih.gov/dailymed/drugInfo.cfm?id=22253 Access Date: 26 Sep, 2010.
  3. DRUGDEX® System:Klasco RK (Ed): DRUGDEX® System (electronic version). Thomson Micromedex, Greenwood Village, Colorado, USA. Available at: http://www.thomsonhc.com. Access Date: 15 March, 2010.
  4. Lacy CF, Armstrong LL, Goldman MP, Lance LL. Drug Information Handbook with international trade names index. 18th ed. Ohio: Lexi Comp In; 2009.

panupong puttarak
โพยม วงศ์ภูวรักษ์
27 กันยายน 2553 17 ตุลาคม 2553
เพื่อนแนะนำ : เงินด่วน 30 นาทีถูกกฎหมาย, เราชนะรอบ 4, ยืมเงิน 3000 ด่วน, แอพผ่อนของ, กู้เงิน, สมัครบัตรเครดิต, สินเชื่อไม่เช็ค บูโรถูกกฎหมาย